วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

๒๓ ตุลาคม " วันปิยมหาราช " สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์




วันปิยมหาราช 

ความเป็นมา
เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ครั้งนั้นเป็นที่เศร้าสลดอย่างใหญ่หลวง ของพระบรมวงศานุวงศ์และปวงชนทั่วประเทศ เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เคารพรักของทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุข แก่ชนทุกหมู่เหล่า ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงได้ถวายพระนามว่า "พระปิยมหาราช หรือพระพุทธเจ้าหลวง " เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพตามราชประเพณีแล้ว ครั้งเมื่อบรรจบอภิลักขิตสมัยคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ผู้สืบราชสันตติวงศ์ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายตามราชประเพณี โดยเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ออกประดิษฐานบนพระแท่นนพปฎลมหา-เศวตฉัตร และเชิญพระพุทธรูปปางประจำพระชนมวารประดิษฐาน ณ โต๊ะหมู่ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท หรือพระที่นั่งอนันตสมาคมส่วนที่พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระลานพระราชวังดุสิต หน้าที่นั่งอนันตสมาคม ที่เรียกว่าพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ที่พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้ร่วมใจกันรวบรวมเงินจัดสร้างประดิษฐานขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทรงพระชนม์อยู่เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงครองราชย์ยั่งยืนนานถึง ๔๐ ปี และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายนพ.ศ. ๒๔๕๑ นั้นต่อมาทางราชการได้ประกาศให้วันที่ ๒๓ ตุลาคมซึ่งเป็นวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า วันปิยมหาราช และกำหนดให้หยุดราชการวันหนึ่งในวันปิยมหาราช เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น กรุงเทพมหานคร ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็นสำนักพระราชวัง ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติ ฉัตร ๕ ชั้น ประดับโคม ไฟ ราวเทียม กระถางธูป ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราชครั้งแรก คือ ถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้ว ได้เสด็จฯไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์

พระราชประวัติ

วันปิยมหาราช คือ วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย เพราะพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการเป็นล้นพ้นได้พระราชทานชีวิตใหม่แก่ทาสผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยทรงประกาศเลิกทาส ทรงปรับปรุง พัฒนาการปกครองสร้างความเจริญและประโยชน์สุขแก่บ้านเมืองและประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่าอย่างสุดที่จะบรรยายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับพระองค์ที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2411 จนถึงวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 จึงเสด็จสวรรคต พระชนมายุ 58 พรรษา อยู่ในราชสมบัตินานถึง 42 ปีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี)เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ

พระราชกรณียกิจที่สำคัญ

เลิกทาส

โปรดเกล้าฯให้ประกาศเลิกทาสในเมืองไทยเลิกทาสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่าจะต้องเลิกทาสให้สำเร็จให้จงได้ แต่การที่พระองค์จะทรงทำการเลิกทาสถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากด้วยทาสนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้เมื่อไม่มีทาสบุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติทาส เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อกำหนดเรื่องทาสในเรือนเบี้ยให้เป็นไปอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดให้เด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นทาส ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสอีกต่อไป กฎหมายโบราณแบ่งทาสออกเป็น 7 ชนิด1. ทาสสินไถ่2. ทาสในเรือนเบี้ย3. ทาสได้มาแต่บิดามารดา4. ทาสท่านให้5. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ6. ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย7. ทาสเชลยศึก ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน และได้ใช้เวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยมิเกิดการนองเลือด เหมือนกับประเทศอื่น ๆ เลย

การปกครอง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน ได้แก่1. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวซึ่งเป็นประเทศราช2. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันออกและตะวันตก และเมืองมลายู3. กระทรวงวัง มีหน้าที่ดูแลรักษาการต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง4. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บภาษีรายได้จากประชาชน5. กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่ในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขาย ป่าไม้6. กระทรวงนครบาล มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร7. กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา8. กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ9. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง และงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง10. กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ

การสาธารณูปโภค
- การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จ.ปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452- การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย- การสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านนี้ล้าสมัยไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงพยาบาล ณ บริเวณริมคลองบางกอกน้อย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431 และใช้ชื่อโรงพยาบาลว่า โรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช"- การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้ กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433

การศึกษา
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้ขยายการศึกษา ในปี พ.ศ.2414 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นภายในพระบรมมหาราชวังโดยมีท่านพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนอีกแห่งซึ่งสอนภาษาอังกฤษมีนาย ยอซ แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงอีกหลายแห่ง โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัดคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ.2427 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร เขียนตำราเรียนขึ้นมา เรียกว่า แบบเรียนหลวง 6 เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาห์นิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าผู้หญิงก็สมควรที่จะได้รับความรู้เช่นเดียวกับผู้ชาย ในปี พ.ศ.2444 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสตรีขึ้น โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่ตั้งขึ้น คือ โรงเรียนบำรุงสตรีวิทยา การปกป้องประเทศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังในการรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม ดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่- พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสอบจุไทย- พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง- พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง- พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภรณ

การเสด็จประพาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการเสด็จประพาสเป็นอย่างมาก แต่มิได้ไปเพื่อการสำราญพระราชหฤทัยส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเสด็จประพาสภายในประเทศทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อเสด็จดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2440 โดยมีหมายกำหนดการเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2441 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสยุโรปเป็นเวลานาน 9 เดือน เพื่อเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้ นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างมากมายในปี พ.ศ.2413 ทรงเสด็จประพาสประเทศเพื่อบ้านเป็นครั้งกรำ คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศชวา 2 ครั้ง การเสด็จพระราชดำเนินประเทศเพื่อนบ้านนั้นด้วยทรงต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อบ้านในแถบอินโดจีน รวมถึงทรงต้องการเรียนรู้ระเบียบการปกครองในปี พ.ศ.2415 เสด็จเยือนประเทศอินเดีย และประเทศพม่า และได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาอินเดียเพื่อนำกลับมาปลูกในประเทศไทยในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองมากมาย ทั้งการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟ รถราง การแพทย์ การศึกษา รวมถึงระเบียบแบบแผนการปกครองประเทศ สวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีชนมพรรษา 58 พรรษา ในบั้นปลายพระชนมชีพทรงพระประชวร เนื่องจากทรงพระชราภาพและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 นับว่าประเทศไทยได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปล่อยทาสให้เป็นไท ทรงพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศจนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติพระองค์ทรงอยู่ในราชสมบัติ 42 ปี ประชาชนชาวไทยต่างรักและอาลัยพระองค์มาก และพร้อมใจถวาย สมัญานามว่า "พระปิยมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่า "พระราชาผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย"
 เหตุการณ์ต่าง ๆ 

พ.ศ.2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้าง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย
พ.ศ.2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่ โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง
พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี โปรดให้เลิกประเพณีหมอคลานในเวลาเข้าเฝ้า
พ.ศ.2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง
พ.ศ.2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ - สมุทรปราการสมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน
พ.ศ.2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนครตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2
พ.ศ.2427 โปรดให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
พ.ศ.2429 โปรดให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน
พ.ศ.2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส การทดลองปกครองส่วนกลางใหม่ เปิดโรงพยาบาลศิริราชโปรดฯให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน
พ.ศ.2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา
พ.ศ.2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)
พ.ศ.2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก
พ.ศ.2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส
พ.ศ.2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง
พ.ศ.2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า
พ.ศ.2453 เสด็จสวรรคต

ที่มา : 
๑. จ. เปรียญ. ประเพณีและพิธีมงคลไทย. ธรรมบรรณาคาร. ๒๕๑๘ กรุงเทพ ฯ.
๒. สมปราชญ์ อัมมะพันธ์. ประเพณีและพิธีกรรมในวรรณคดี. โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮ้า.๒๕๓๖ กรุงเทพ ฯ.
๓. สุเมธ เมธาวิทยกุล. สังกัปพิธีกรรม. พริ้นติ้ง เฮ้า. ๒๕๓๒ . กรุงเทพ ฯ.
๔. แสงฉาย อนงคาราม. อานิสงค์จากพระไตรปิฎก. ส. ธรรมภักดี. กรุงเทพ ฯ.
๕. ประพันธ์ กุลวินิจฉัย เทศกาลและพิธีกรรมทางพุทธศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ ม.มจร กรุงเทพ ฯ.

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

จาก ม.ปลาย สู่ มหา'ลัย...เรียนอย่างไรให้ได้ A

              ใกล้จะเข้าสู่ ช่วงโค้งสุดท้าย สำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ของน้องๆ ม.6 กันแล้ว วันนี้พี่ปอเลยมีบทความดีๆมาฝาก ชาว dek-d ทั้งหลาย ว่า การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ต่างจากการเรียน ใน ระดับ ม.ปลาย ที่เรากำลังจะผ่านพ้น อย่างไร เพื่อ เราจะได้มีวิธีการเตรียมตัว ในการเรียน ระดับมหาวิทยาลัย ให้ GET A ทุกวิชาเลยไงคร๊าบ อิอิ งั้นก็อย่ารอช้ากันเลย เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกั่ว เอ้ย ดีกว่า

ม.ปลาย vs มหาวิทยาลัย แตกต่างกันอย่างไร ?

ข้อแรกเลย การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ส่วนใหญ่ในปีแรก เนื้อหาจะคล้ายๆกับ ม ปลาย


              พวกวิชา เคมี คณิตศาสตร์ ชีว ภาษาอังกฤษ อะไรทำนองนี้ จะเจอมากเลย สำหรับ น้องๆที่เรียนในคณะสายวิทย์ แต่ สำหรับคณะสายศิลป์ก็เจอบ้างนะ โดยเฉพาะ ภาษาอังกฤษ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ยากนะ เพราะเราเคยเรียนมาหมดแล้วใน ม ปลาย แต่มันยากตรงที่ เนื้อหาแต่ละเรื่องเรียนเร็วมากๆ เร็วกว่า ใน ม ปลาย ประมาณ 3-4 เท่าเลยล่ะ ลองคิดดูละกัน อย่าง ชีวะเนี่ย เราต้องเรียนเนื้อหาที่เราเคยเรียนตั้งแต่ ม.4- ม.6 ภายใน 1 เทอมอะ สุดๆไปเลย

แนวทางการปรับตัว

              ตั้งใจเรียนให้มากขึ้น หมั่นทบทวนบทเรียนอยู่เสมอ ถ้าเป็นไปได้ไปเอา สมุดโน้ต หนังสือเรียนเก่าๆสมัย ม ปลาย มาทบทวนดู เพราะว่า เนื้อหาในมหาวิทยาลัยที่อาจารย์สอนนั้นมันจะรวบรัดมากๆ ไม่ละเอียดเท่าของ ม ปลาย ดังนั้นถ้าเราอ่านของ ม ปลาย จะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นน๊า
ข้อแตกต่างต่อมา เป็นเรื่องของ ความอิสระ ที่เราจะได้รับอย่างมาก ในรั้วมหาวิทยาลัย
ถ้าเราควบคุมตนเองไม่ได้ ความอิสระที่เราได้รับนั้น จะกลับกลายเป็นดาบ มาทำร้ายเราได้นะ

แนวทางการปรับตัว

                เราต้องควบคุมตนเองให้อยู่นะ อย่าออกนอกลู่นอกทางล่ะ แล้วที่สำคัญต้องแบ่งเวลาให้เป็นด้วย ต้องรู้ว่าเวลาไหนควรเที่ยว เวลาไหนควรตั้งใจเรียน ไม่ใช่ว่า เก้าโมง คือเวลาเรียนแต่แอบโดดไปเที่ยวซะงั้น จริงอยู่ว่า ในมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะไม่มีการเช็คชื่อหรือเช็คเวลาเข้าเรียน แต่ถ้าเราทำบ่อยๆ เราจะเรียนไม่ทันเพื่อน รู้ไหมคร๊าบ อิอิ

               รู้หรือไม่ การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ส่วนใหญ่ คะแนน ที่ได้ เกรดที่ออก ล้วนมาจากการสอบทั้งนั้น ไม่มี คะแนนพิศวาส หรือ คะแนนเก็บ คะแนนทำงานเหมือนใน ม ปลาย นะ ?
               อันนี้ คือเรื่องจริงเลยครับ วิชาส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยนั้น คะแนนที่ได้ มาจากการสอบทั้งนั้น ไม่มีคะแนนช่วยหรือคะแนนเก็บเหมือนตอน ม ปลาย อย่างวิชา แคลคูลัส ที่พี่ปอเคยเรียนตอนสมัยหนุ่มๆ ฮ่าๆ เก็บ คะแนนกลางภาคและปลายภาค อย่างละ 50% เลยนะ สุดๆไปเลยไหมล่ะ


แนวทางการปรับตัว

                ดังนั้น วิธีการปรับตัวนั้น เราต้องตั้งใจเรียนและเอาใจใส่ต่อวิชานั้นๆอย่างมาก ที่สำคัญไม่ควรโดดเด็ดขาด เพราะแม้ว่าคะแนนช่วย คะแนนจากการเข้าห้องเรียน จะไม่สำคัญแล้ว แต่การที่เราโดดเรียน จะทำให้เราไม่เข้าใจเนื้อหาที่อาจารย์สอนนะ เดี๋ยวจะมาเหนื่อยช่วงใกล้สอบแล้วจะหาว่าพี่ปอไม่เตือน
                การช่วยเหลือตัวเอง คือเรื่องใหญ่มากในรั้วมหาวิทยาลัย
อ่านหัวข้อแล้วอย่าเพิ่งคิดไปไกลน๊า เรื่องช่วยเหลือตัวเองเนี่ย ฮ่าๆ การช่วยเหลือตัวเองในที่นี้ หมายถึง ถ้าเรามีปัญหาการเรียน หรือต้องการติดต่ออาจารย์นั้น เราต้องติดต่อเอง ไม่มีอาจารย์มาคอยจ้ำจี้จ้ำไชเราเหมือนตอน อยู่ ม ปลายแล้ว

แนวทางการปรับตัว
                ในรั้วมหา'ลัยนั้น เราจะมีอาจารย์ที่ปรึกษา คอยให้คำปรึกษาเรา เวลาเรามีปัญหาอะไร ก็ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาของเราได้ และนอกจากนี้ วิชาที่เราเรียนบางวิชา ก็จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาประจำวิชา และ ผู้ช่วยสอน คอยให้คำปรึกษาเราอยู่ด้วย

"อย่าอายที่จะเข้าหาอาจารย์นะครับ เพราะถ้าเราไม่กล้าที่จะเข้าหาอาจารย์ จะทำให้เราเรียนอย่าง
ลำบากมากๆ "

เพื่อน คือ สิ่งสำคัญ ในรั้วมหา 'ลัย


                ใน ม ปลาย เราอาจยังไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเพื่อนในด้านการเรียนมากนัก เพราะเรามักจะนึกถึงเพื่อนในเรื่องของความสนุกสนาน เฮฮากันเสียส่วนใหญ่ แต่ ในรั้วมหา'ลัย เพื่อนนี่แหล่ะ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเอาตัวรอดได้เลย ยกตัวอย่างนะ ถ้าเราไม่เข้าเรียน แล้วเรามีเพื่อน ที่ไว้ใจได้เรียนวิชาเดียวกับเรา เราก็ยังสามารถให้เพื่อนช่วยจด lecture หรือมาติวให้เราได้ จริงไหม ? เริ่มเห็นความสำคัญของเพื่อนหรือยัง

แนวทางการปรับตัว
                 ในมหาวิทยาลัยนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ แค่มี สอง สาม คน แต่ไว้ใจได้ สามารถช่วยเหลือกันได้ ก็เพียงพอแล้ว น้องๆบางคนคงจะสงสัยว่า แล้วเพื่อน นั้น ในมหาลัย หายากไหม ไม่ยากครับ เพียงแค่ร่วมทำกิจกรรมบ่อยๆ เราก็จะได้เพื่อนเอง เชื่อพี่ปอสิ

เอาล่ะ วันนี้พี่ปอก็ขอจบบทความ จาก ม ปลาย สู่ มหา’ลัย เรียนอย่างไรให้ได้ A แต่เพียงเท่านี้นะคร๊าบ แล้วโอกาสหน้าเจอกันใหม่ สุดท้ายนี้ขอกล่าวคำว่า โชค A ครับ ....

บทความโดย พี่ปอ จากคอลัมน์ Education > ฟิตเกรด+กวดวิชา เว็บไซต์เด็กดีดอทคอม

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สรุปผลการประมูล 3G



               เมื่อเวลา 17.30น. ของวันนี้ ( 16 ตุลาคม 2555 ) กสทช แถลงข่าวสรุปผลการประมูล3G และทั้ง 3 บริษัทผู้ร่วมประมูล ได้เลือกช่วงความถี่เรียบร้อยแล้ว โดยประมูล 3G ในรอบที่ 7 เพราะไม่มีผู้เข้าร่วมการประมูลรายใดเสนอราคาอีก และเมื่อไม่มีผู้ใดใช้สิทธิในการไม่เสนอราคา (Waiver) เมื่อการประมูลทุกล็อตสิ้นสุดลง เข้าสู่ขั้นตอนการกำหนดย่านความถี่โดยผู้เข้าร่วมการประมูลที่เสนอราคาสูงสุดจะเป็นผู้มีสิทธิเลือกย่านความถี่ที่ตนเองต้องการก่อน 


               ผลการเคาะประมูลปรากฎว่า ใบที่สูงสุด 4,950 ล้านบาท โดย บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AIS) เสนอราคาสูงสุด 14,625 ล้านบาท บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด (dtac) และ บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด (true) เสนอราคาเท่ากันคือ 13,500 ล้านบาท สิทธิในการเลือกย่านความถี่ตามลำดับ คือ AIS , True และ Dtac (ทั้งนี้บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด (true ) เป็นผู้จับสลากได้เลือกย่านความถี่ก่อน dtac )
                                  
        สรุปการเลือกช่วงคลื่นความถี่
บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด เลือกย่าน 1920 MHz – 1935 MHz และ 2110 MHz – 2135 MHz
บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด เลือกย่าน 1935 MHz – 1950 MHz และ 2125 MHz – 2140 MHz
บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด เลือกย่าน 1950 MHz – 1965 MHz และ 2140 MHz – 2155 MHz
โดยราคาประมูลรวมทั้งหมด 3 บริษัท ได้เงินเข้ารัฐรวม 41,625 ล้านบาท

             หลังจากสิ้นสุดการประมูลจะประกาศผลการประมูลอย่างเป็นทางการภายใน 3 วัน และ กสทช. จะออกใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ IMT ย่าน 2.1 GHz และใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สามให้แก่ผู้เข้าร่วมการประมูลภายหลังจากผู้เข้าร่วมการประมูลได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการดำเนินการก่อนรับใบอนุญาตอย่างครบถ้วน ถูกต้องภายใน 90 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งผลการประมูล


                     

              พ.อ. ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รองประธาน กสทช.) ในฐานะประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (ประธาน กทค.) กล่าวย้ำว่า “การประมูลคลื่นความถี่ IMT ย่าน 2.1 GHz ในวันนี้ กสทช. ดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความรอบคอบ ถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยความตั้งใจที่จะนำเอาคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz มาให้บริการประชาชน โดยคำนึงถึงความสมดุลของประโยชน์สำหรับประชาชนผู้บริโภค เงินรายได้จากการประมูลที่จะนำเข้ารัฐ และการส่งเสริมแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม”

ที่มา : http://www.it24hrs.com/2012/result-thailand-3g-auction/

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

X-ray Diffractrometer (XRD)


X-ray Diffractrometer (XRD)
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ที่ไม่ทำลายสารตัวอย่าง
่่่่(Non-destructive method) โดยใช้หลักการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์
ที่ตกกระทบหน้าผลึก ของสารตัวอย่างที่มุมต่างๆกัน ผลการวิเคราะห์ที่
ได้จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลมาตรฐาน เพื่อระบุวัฏภาคองค์
ประกอบของสารตัวอย่าง
หลักการและวิธีการวิเคราะห์
วัสดุที่เป็นผลึกคือวัสดุที่มีการจัดเรียงตัวของอะตอมภายในโครงสร้าง
อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งการจัดเรียงตัวของอะตอมภายในผลึกจะมีลักษณะ
เป็นระนาบเส้นตรงขนานกัน ซึ่งแต่ละระนาบจะอยู่ห่างกันเป็นระยะ d
ดังแสดงในรูปที่ 1ซึ่งค่าระยะห่าง d จะมีค่าแตกต่างกันไปขึ้นกับธรรม-
ชาติของผลึก

ในปี ค.ศ.1912 W.H. Bragg
และ W.L. Bragg ได้เสนอแนว
คิดว่าเมื่อรังสีเอ็กซ์ตกกระทบ
ระนาบของอะตอมภายในผลึกที่
มุมตกกระทบ Theta รังสีเอ็กซ์บาง
บางส่วนจะเกิดการสะท้อนกลับ
(เลี้ยวเบน) ที่มุมสะท้อน Theta เท่ากับ
มุมตกกระทบ ดังแสดงในรูปที่ 1
ซึ่ง ความสัมพันธ์ของค่าตัวแปรต่างๆ
ถูกเสนอในรูปสมการ


ซึ่งสมการดังกล่าว เรียกว่า " Bragg 's Law "
ความสามารถในการตรวจวิเคราะห์ ของเครื่อง XRD รุ่น D8 Advance
วิเคราะห์วัฏภาคโครงสร้างผลึกในสารตัวอย่างเทียบกับฐาน ข้อมูลมาตรฐาน (Phase analysis)

สารตัวอย่างที่เป็นแผ่นฟิล์ม


สารตัวอย่างที่เป็นผงละเอียด








รูปแบบการเลี้ยวเบนรังสีเอ็กซ์ของวัฏภาคที่เป็นผลึกจะมีลักษณะ แตกต่างกันขึ้นกับการจัดเรียงตัวของอะตอมภายในผลึก
ดังนั้นรูปแบบการเลี้ยวเบน รังสีเอ็กซ์ จึงสามารถใช้เป็นตัวชี้บอกได้ว่าสารตัวอย่างนั้น ประกอบด้วยวัฏภาคที่เป็นผลึกชนิดใดบ้าง

สารตัวอย่างที่เป็นแผ่นฟิล์ม
สารตัวอย่างที่เป็นผงละเอียด
วิเคราะห์วัฏภาคองค์ประกอบในสารตัวอย่างในเชิงปริมาณ (Quantitative analysis)


ความเข้มของพีกการเลี้ยวเบนรังสีเอ็กซ์จะเป็นค่าที่แปรผันตาม ปริมาณของวัฏภาคที่เป็นผลึกภายในสารตัวอย่าง ดังนั้นจึงสามารถใช้ค่า
ความเข้มของพีกคำนวณหาปริมาณของวัฏภาคองค์ประกอบต่างๆใน สารตัวอย่างได้

วิเคราะห์ขนาดของผลึก (Crystallite size) และ ความเครียดระดับจุลภาค (Microstrain)


ความกว้างของพีกการเลี้ยวเบนรังสีเอ็กซ์เป็นผลเนื่องมาจากเครื่อง มือและลักษณะทางกายภาพของสารตัวอย่างได้แก่ ความเครียดจุลภาค
ข้อบกพร่องของผลึก และขนาดของตัวอย่าง ดังนั้นจึงสามารถคำนวณหา ขนาดผลึกและความเครียดจุลภาคจากความกว้างของพีกการเลี้ยวเบน
รังสีเอ็กซ์ได้
วิเคราะห์โครงสร้างของสารประกอบที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้รับความร้อนที่อุณหภูมิต่างๆ กัน



เมื่อใช้หน่วยควบคุมอุณหภูมิ HTK16 ร่วมกับเครื่อง XRD จะทำให้ สามารถวิเคราะห์การเลี้ยวเบนรังสีเอ็กซ์ภายใต้สภาวะตั้งแต่อุณหภูมิห้อง
จนถึง 1600oC ทั้งในบรรยากาศปกติ สุญญากาศ หรือบรรยากาศของก๊าซ เฉื่อยได้

ภายในเครื่องวิเคราะห์การเลี้ยวเบนรังสีเอ็กซ์ รังสีเอ็กซ์จะถูกสร้างขึ้น
ภายในหลอดปิดซึ่งอยู่ภายใต้สภาวะสูญญากาศ (รูปที่ 2) โดยให้กระแส
ไฟฟ้าแก่เส้นลวดฟิลาเมนท์ (Filament) ที่อยู่ภายในหลอดกำเนิดรังสีเอ็กซ์
ซึ่งจะทำให้เส้นลวดร้อนขึ้นและก่อให้เกิดการปลดปล่อยอิเล็กตรอนออกจาก
เส้นลวด อิเล็กตรอนเหล่านี้จะถูกเร่งด้วยความต่างศักย์สูง ทำให้เคลื่อนที่
เส้นลวดฟิลาเมนท์ที่เป็นขั้วแคโทดด้วยความเร็วสูงเข้าชนขั้วแอโนด ซึ่ง
โดยทั่วไปทำจากโลหะทองแดง อิเล็กตรอนที่พุ่งเข้าชนจะทำให้วงในสุด
(K-shell) ของอะตอมทองแดงหลุดออกไปจึงเกิดเป็นช่องว่างขึ้น เป็นผล
ให้อิเล็กตรอนวงนอกที่อยู่ถัดมา (L- และ M-shell) เกิดการเปลี่ยนระดับ
พลังงานลงมาแทนที่ช่องว่างนั้น โดยการคายรังสีเอ็กซ์ออกมาดังแสดงใน
รูปที่ 3 รังสีเอ็กซ์ที่คายออกมาจะผ่านออกจากหลอดกำเนิดรังสีเอ็กซ์ไปยัง
สารตัวอย่าง และรังสีเอ็กซ์ที่เลี้ยวเบนออกจากสารตัวอย่างจะถูกตรวจจับ
ด้วย อุปกรณ์ตรวจจับ รังสีเอ็กซ์ ( detector )