วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ & Happy New Year 2013




ส.ค.ส...ปีห้าหก..
กุหลาบขาว..ร้อยกวี..มีความหมาย
ส่งตรงถึง..สมาชิก..ทั้งหญิงชาย
ทั้งไกลใกล้..หรือต่างแคว้น..สุดแดนดิน

ขอยอกร..น้อมประนม..ก้มเกศา
อาราธนา..พระรัตนตรัย..ใจถวิล
แลทวยเทพ..เทวา..ทั่วฟ้าดิน
ปู่ฤษีทั้ง 108..หากยลยิน..โปรดเมตตา

เสด็จมา..ประทานพร..อันศักดิ์สิทธิ์
ที่เรืองฤทธิ์..แด่มิ่งมิตร..ทั่วทิศา
มีความสุข..ปราศผองภัย..ไร้โรคา
ทั้งเงินตรา..มากมีทรัพย์..นับอนันต์

อีกหน้าที่..การงาน..จงก้าวหน้า
โชควาสนา..เรื่องรุ่ง..พุ่งไพศาล
คิดได้เพชร..ได้ทอง..มากองพลัน
จงสุขสันต์..สุขี..ปีใหม่เทอญ...

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พันธุกรรม พันธุศาสตร์

พันธุกรรม พันธุศาสตร์

โครงสร้างที่พบอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์แต่ละเซลล์เรียกว่า โครโมโซม ในโครโมโซมมี
โมเลกุลของข้อมูลที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ใช้ในการสร้างและควบคุมเซลล์ 
โดยยีนเป็นตัวกำหนดลักษณะของคนแต่ละคน เช่น สีผม สีตา ในระหว่างที่มีการสืบพันธุ์
แบบอาศัยเพศ เซลล์สืบพันธุ์เป็นตัวถ่ายยีนไปสู่รุ่นที่เกิดขึ้นใหม่ 

ยีน
โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ ซึ่งขดตัวพันกันเป็นเกลียวแน่น โครงสร้างทางเคมีอัน
สลับซับซ้อนของดีเอ็นเอนี้จะคลายเกลียวออก เปิดตัวยีนออกมาเมื่อจำเป็นต้องใช้ ยีนสร้าง
โปรตีนที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ขึ้นใหม่ ก่อนเซลล์จะมีการแบ่งตัว โครโมโซมจะจำลอง
รูปแบบของตนเองไว้ 



ไมโตซีส
ขณะที่มีการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เซลล์ของร่างกายจะแบ่งตัวออก
เป็น 2 เซลล์ โครโมโซมที่อยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ จะมีการจำลองตนเอง เซลล์ใหม่
แต่ละเซลล์จะมีจำนวนโครโมโซม 46 แท่ง เหมือนเซลล์เดิมทุกอย่าง



ไมโอซีส
เซลล์สืบพันธุ์มีจำนวนโครโมโซม 23 แท่ง ในขณะที่เซลล์มีการแบ่งตัวแบบไมโอซีส 
จะเกิดการสลับที่และผสมยีนกันขึ้น เซลล์แบ่งตัวโดยที่เซลล์ที่เกิดใหม่ ได้รับโครโมโซม 23 
แท่งเท่านั้น ในการแบ่งตัวเซลล์ขั้นที่ 2 โครโมโซมจะแยกตัวออกจากกัน กลายเป็นเซลล์
สืบพันธุ์อีก 2 เซลล์



พันธุกรรม
ยีนถูกถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งต่อๆไป เด็กทารกจะได้รับยีนครึ่งหนึ่งจากพ่อ
 และอีกครึ่งหนึ่งจากแม่ 1 ใน 4 ของยีนในตัวมาจากรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย การสลับที่ของยีน
ในขณะที่เซลล์มีการแบ่งตัวแบบไมโอซีส หมายความว่าพี่ชายกับน้องสาว จะได้รับ
การถ่ายทอดยีนที่ไม่เหมือนกันจากพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม ความคล้ายคลึงกันขอ
งสมาชิกในครอบครัวอาจมีขึ้นได้


  • อสุจิมีโครโมโซม X หรื Y ซึ่งเป็นตัวกำหนดเพศของทารก 
  • เซลล์ของร่างกายมีจำนวนโครโมโซม 46 แท่ง 
  • เซลล์เม็ดเลือดแดง ไม่มีนิวเคลียส จึงไม่มียีนอยู่ 
  • อายุยืนยาวสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม 

เนื้อหาสาระ ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย


ภาษาพัฒนาความคิด
ใช้ภาษาพัฒนาความคิด
                1. บทบาทของภาษาในการพัฒนาความคิด
ในขณะที่มนุษย์ใช้ความคิดนั้น ย่อมอาศัยภาษาเป็นเครื่องมือในการคิดไปด้วย ทั้งนี้ภาษาจะ
ช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจความคิดของเรา และช่วยให้ตัวเราได้ขัดเกลาความคิดให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น และถ้า
สมรรถภาพในการใช้ภาษาของบุคคลใดมีอยู่จำกัด สมรรถภาพในการคิดก็พลอยถูกจำกัดด้วย ถ้า
บุคคลใดมีสมรรถภาพในการใช้ภาษาสูง บุคคลนั้นก็มีสมรรถภาพสูงในการคิด ซึ่งมีผลทำให้สมรรถภาพในการใช้ภาษาสูงตามไปด้วย ในกรณีที่บุคคลหลาย ๆ คน ใช้ความคิดร่วมกันแก้ปัญหา
บทบาทของภาษาจะยิ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้น
                2. วิธีคิด
                                1. วิธีคิดเชิงวิเคราะห์
                การวิเคราะห์ คือ การพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เข้าใจ โดยวิธีแยกแยะสิ่งที่พิจารณานั้นออก
เป็นส่วน ๆ เพื่อความเข้าใจแต่ละส่วนให้แจ่มแจ้ง แล้วก็พยายามทำความเข้าใจว่า แต่ละส่วนนั้นมีความ
สัมพันธ์ต่อเนื่องกันอย่างไร
แนวในการคิดเชิงวิเคราะห์ทุกประเภท สรุปได้ดังนี้
                1. กำหนดขอบเขตหรือนิยามสิ่งที่จะวิเคราะห์ให้ชัดเจน คือรู้ว่าคิดวิเคราะห์อะไร
                2. กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน คือรู้ว่า วิเคราะห์เพื่ออะไร
                3. หากหลักความรู้ หรือทฤษฎีเป็นแนวทาง คือรู้ว่าใช้เครื่องมืออะไรในการวิเคราะห์
                4. ใช้หลักความรู้ให้ตรงกับเรื่องที่วิเคราะห์ คือรู้ว่าวิเคราะห์อย่างไร
                5. สรุปสิ่งที่ทำ คือการรายงานผลการวิเคราะห์ให้เป็นระเบียบเห็นได้ชัดเจน
                                2. วิธีคิดเชิงสังเคราะห์
การสังเคราะห์คือ การรวมส่วนต่าง ๆ ให้ประกอบกันเข้าด้วยวิธีที่เหมาะสมจนเกิดสิ่งใหม่
นำไปใช้ประโยชน์ได้
แนวในการคิดเชิงสังเคราะห์ สรุปได้ดังนี้
1. ตั้งจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าต้องการจะสรรสร้างสิ่งใด เพื่อประโยชน์อะไร หรือเพื่อให้
ทำหน้าที่อะไร
2. หาความรู้เกี่ยวกับหลักการ ทฤษฎีหรือ โครงสร้างที่เหมาะสมเพื่อนำมาเป็นหลักในการ
สังเคราะห์
3. ทำความเข้าใจกับส่วนต่าง ๆ ที่จะนำมาประกอบในการสังเคราะห์ให้ถ่องแท้
4. นำความรู้ หลักการ ทฤษฎี มาใช้ให้ตรงกับเรื่องที่จะสังเคราะห์เป็นกรณี ๆ ไป
5. สอบสวนทบทวนผลของการสังเคราะห์ว่าเหมาะกับความมุ่งหมายหรือไม่ เพียงใด
                               
                3. วิธีคิดเชิงประเมินค่า
                การประเมินค่า คือ การใช้ดุลยพินิจตัดสินคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า สิ่งนั้นดีหรือเลว มีคุณ
หรือโทษ มีประโยชน์มากน้อย แค่ไหน เพียงไร โดยทั่วไปก่อนที่จะประเมินค่าจะต้องมีเกณฑ์ตั้งไว้
ก่อนเพื่อนำเกณฑ์นั้นมาใช้เป็นเครื่องตัดสินว่า สิ่งที่ประเมินค่าอยู่ในขั้นใด หรือประเมินค่าโดย
พิจารณาเปรียบเทียบกับหลักฐานอื่นตามความเหมาะสมก็ได้
แนวในการคิดเชิงประเมินค่า สรุปได้ดังนี้
                1. ทำความเข้าใจสิ่งที่จะประเมินให้ชัดเจน ก็คือ การวิเคราะห์นั่นเอง
                2. พิจารณาว่า จะใช้เกณฑ์อะไรเป็นเครื่องตัดสินคุณค่าของสิ่งที่จะประเมินต้องระบุ
เกณฑ์ให้ชัดเจนและต้องพิจารณาด้วยว่า เกณฑ์นั้นเหมาะสมแก่การประเมินหรือไม่เพียงไร
                3. การประเมินโดยใช้เปรียบเทียบกับหลักฐานอื่น ต้องกล่าวถึงหลักฐานให้ชัดเจนและ
พิจาณาความสมเหตุสมผลของหลักฐานที่จะนำมาเปรียบเทียบ
แนวทางในการคิดทั้ง 3 แบบ เป็นแนวทางให้ผู้ใช้ได้พิจารณาถึงความเหมาะสมกับเรื่อง ๆ
ไปหรืออาจใช้การคิดทั้ง 3 แบบ ก็ได้
ประโยชน์ของระเบียบวิธีคิดทั้ง 3 แบบ สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้
3. การคิดเพื่อแก้ปัญหา
หลักในการคิดเพื่อแก้ปัญหา มีหลักสำคัญดังนี้
1. ประเภทของปัญหา มี 3 ประเภท คือ
- ปัญหาเฉพาะบุคคล
- ปัญหาเฉพาะกลุ่ม
- ปัญหาสาธารณะ (สังคม)
2. สาเหตุและสภาพแวดล้อมของปัญหา
ในการคิดเพื่อแก้ปัญหาต้องหาสาเหตุสำคัญให้ได้ และต้องรู้ถึงสภาพแวดล้อมของ
ปัญหาให้ได้ว่ามีอยู่อย่างไร
3. เป้าหมายในการแก้ปัญหา ก็คือการปลอดพ้นจากสภาพที่ไม่พึงประสงค์
4. การเลือกวิถีทางแก้ปัญหา ควรจะเลือกวิถีทางที่อุปสรรคน้อยที่สุดหรือไม่มีอุปสรรค
เลยวิถีทางที่เลือกนี้จะต้องอยู่ในภาวะที่ปฏิบัติได้ แล้วไม่ก่อให้เกิดความยุ่งยากในภายหลัง และเป็นวิถี
ทางที่ให้ความมั่นใจว่าจะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
ในการพิจารณาสาเหตุของปัญหานั้นใช้ระเบียบวิธีคิดเชิงวิเคราะห์นั่นเอง ส่วนการคิดหาทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาใช้ระเบียบวิธีคิดเชิงสังเคราะห์ และเมื่อจะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด ก็ใช้ระเบียบ
วิธีคิดในเชิงประเมินค่า

หลักสำคัญในการคิดเพื่อแก้ปัญหา มีดังนี้
1. ทำความเข้าใจลักษณะของปัญหาและกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน
2. พิจาณาหาสาเหตุของปัญหา
3. วางเป้าหมายในการแก้ปัญหาให้ชัดเจน เพื่อจะได้คิดหาทางให้บรรลุเป้าหมาย
4. คิดหาวิถีทางแก้ปัญหาด้วยวิธีต่าง ๆ
5. เลือกวิถีทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดให้บรรลุเป้าหมายและให้เป็นไปตามเงื่อนไข
ที่ต้องการ